รองเท้าเซฟตี้ป้องกันอะไรได้บ้าง? (กันกระแทก กันลื่น กันไฟฟ้า) และ “ดูยังไง” ให้เลือกถูกงาน

รองเท้าเซฟตี้ไม่ได้กันแค่ “หัวเหล็ก” แต่เป็นชุดคุณสมบัติหลายด้าน เช่น กันกระแทก/บีบอัด, กันลื่น, กันเจาะทะลุ, กันน้ำ, กันความร้อน, กันไฟฟ้าสถิต/ไฟฟ้าดูด ฯลฯ ซึ่งอ่านได้จาก “รหัสมาตรฐาน” บนรองเท้าหรือสเปกชีต
รองเท้าเซฟตี้ช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง
1) กันกระแทก/กันบีบอัดที่ปลายเท้า (Toe Protection)
หัวรองเท้า (Steel/Composite/Aluminum) ออกแบบมาเพื่อรับแรงกระแทกและแรงบีบอัด ลดนิ้วเท้าหัก/ช้ำจากของตกหรือชน ซึ่งเป็น “แกนหลัก” ของมาตรฐานรองเท้านิรภัยหลายระบบ
2) กันเจาะทะลุจากตะปู/เศษโลหะ (Puncture Resistance)
งานไซต์ก่อสร้าง/งานพื้นเสี่ยงตะปู ควรดู “พื้นกันทะลุ”
-
มาตรฐาน EN ISO 20345:2022 แยกชัดว่าเป็น P (แผ่นโลหะ) หรือ PL/PS (แผ่นไม่ใช่โลหะ) และมีระดับการทดสอบต่างกัน
3) กันลื่น (Slip Resistance)
พื้นกันลื่นช่วยลดการล้มในพื้นที่เปียก/มัน/พื้นเรียบ
-
ใน EN ISO 20345 รุ่นใหม่ “SR” เข้ามาแทนการระบุแบบเดิม (SRA/SRB/SRC) และการทดสอบปรับให้ใกล้การเดินจริงมากขึ้น
4) กันไฟฟ้า: ต้องแยก “กันไฟฟ้าดูด” กับ “กันไฟฟ้าสถิต (ESD)”
หลายคนสับสน 2 เรื่องนี้:
(ก) กันไฟฟ้าสถิต/ESD (ปกป้องชิ้นงานอิเล็กทรอนิกส์)
รองเท้า ESD ทำหน้าที่ “ระบายประจุ” ให้ไหลลงพื้น ลดการคายประจุที่ทำให้ชิ้นงานเสียหาย โดยมักอ้างอิงมาตรฐานตระกูล IEC/EN 61340 และค่าความต้านทานอยู่ในช่วงที่กำหนด (เช่น 0.1–100 MΩ ในคู่มือผู้ผลิตบางราย)
(ข) กันไฟฟ้าดูด/ป้องกันอันตรายไฟฟ้า (Electrical Hazard – EH)
ในมาตรฐานแบบ ASTM (ที่พบในรองเท้าบางรุ่น) จะมีการทำเครื่องหมาย EH สำหรับรองเท้าป้องกันอันตรายทางไฟฟ้า
สรุปจำง่าย: ทำงาน “อิเล็กทรอนิกส์/ห้องคลีน/ชิ้นส่วน” มักต้อง ESD แต่ทำงาน “เสี่ยงไฟฟ้าดูด” ให้มองหา EH (และต้องประเมินหน้างานตามข้อกำหนดความปลอดภัยเสมอ)
5) กันน้ำ/กันความชื้น
ใน EN ISO 20345:2022 แยกความหมายชัดขึ้นระหว่าง
-
WPA = วัสดุส่วนบนทนน้ำซึม/การดูดซึมน้ำ
-
WR = กันน้ำทั้งรองเท้า (การทดสอบเข้มกว่า) และยังมีการเพิ่มกลุ่ม S6/S7 เพื่อสื่อเรื่อง “กันน้ำทั้งคู่” ชัดขึ้น
6) กันความร้อน/ทนน้ำมัน/ทนสึก
บางงานต้องดูสัญลักษณ์เพิ่ม เช่น ทนความร้อนพื้น (เช่น HRO), ทนน้ำมันเชื้อเพลิง/ไฮโดรคาร์บอน (FO) เป็นต้น (ในมาตรฐานใหม่ FO ถูกย้ายไปเป็น “คุณสมบัติเพิ่มเติม” ไม่ใช่ข้อบังคับของทุกคลาส)
“ดูยังไง” ให้รู้ว่ารองเท้ากันอะไรได้จริง
ขั้นที่ 1: ดูมาตรฐานหลักก่อน (EN ISO 20345 หรือ ASTM F2413)
-
ถ้าเห็น EN ISO 20345:2011 / 2022 ให้ใช้รหัสกลุ่ม SB/S1/S2/S3… เป็นตัวตั้ง
-
ปัจจุบันยังมีรองเท้าที่รับรองตามทั้ง 2011 และ 2022 วางขายควบคู่กันได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และอาจเจอได้ไปถึงปลายทศวรรษนี้
ขั้นที่ 2: อ่าน “รหัสคลาส” ให้ตรงหน้างาน (ตัวอย่างที่เจอบ่อย)
อ้างอิงแนวคิดจาก EN ISO 20345 (สรุปแบบใช้งานจริง):
-
SB: พื้นฐาน มีหัวรองเท้านิรภัย
-
S1: ใช้ในงานแห้ง/ในอาคาร (มักมี antistatic + ซับแรงส้น + ฯลฯ ตามข้อกำหนด)
-
S1P / S1PL / S1PS: มี “กันเจาะทะลุ” (แยกชนิดแผ่นกันทะลุในรุ่นใหม่)
-
S2: เน้นทนน้ำซึมบริเวณส่วนบน
-
S3 / S3L / S3S: S2 + กันเจาะทะลุ + ดอกยางเหมาะงานนอกอาคาร/ชื้น (รุ่นใหม่แยก P/PL/PS ชัด)
ขั้นที่ 3: ดูสัญลักษณ์ “เพิ่ม” ที่ตอบโจทย์ (กันลื่น/กันน้ำ/กันไฟฟ้า)
-
กันลื่น: มองหา SR (ถ้าเป็นมาตรฐานใหม่) หรือรุ่นเก่าอาจยังเจอ SRA/SRB/SRC
-
กันน้ำ: WPA (ส่วนบน) / WR (ทั้งรองเท้า)
-
กันไฟฟ้า: แยก ESD (ระบายประจุเพื่อปกป้องชิ้นงาน) กับ EH (ป้องกันอันตรายไฟฟ้าตาม ASTM)
ขั้นที่ 4: เช็กป้าย/สเปกจริง ไม่ดูแค่คำโฆษณา
ให้ดู 3 จุดนี้:
-
ป้ายด้านในลิ้นรองเท้า/ส้น (มาตรฐานและรหัส)
-
Datasheet/ใบรับรองจากผู้ผลิต
-
สภาพพื้น/ดอกยาง/วัสดุหัวรองเท้าให้ตรงสภาพงาน (เปียก-มัน-กลางแจ้ง-ไซต์งาน)
FAQ
Q: ทำงานคลังสินค้าในไทยควรเลือกคลาสไหน?
A: ถ้าพื้นแห้งในอาคารมักเริ่มที่ S1/S1P; ถ้ามีตะปู/ของมีคมให้เน้นรุ่นที่มี P/PL/PS; ถ้าพื้นเปียก/งานนอกอาคารบ่อยให้ดู S3 และเสริม SR/WR ตามจริง
Q: กันลื่นดู “SR” อย่างเดียวพอไหม?
A: SR ช่วยบอกว่าผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน แต่สภาพหน้างานจริง (น้ำมัน/ผง/พื้นกระเบื้อง/พื้นปูน) ยังสำคัญ ควรเลือกดอกยางและวัสดุพื้นที่เหมาะด้วย
Q: ESD = กันไฟฟ้าดูด ใช่ไหม?
A: ไม่เหมือนกัน—ESD คือระบายไฟฟ้าสถิตเพื่อปกป้องชิ้นงานอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกันไฟฟ้าดูดให้มองหมวด Electrical Hazard (เช่น EH ใน ASTM)
#รองเท้าเซฟตี้ #รองเท้านิรภัย #SafetyShoes #PPE #อุปกรณ์เซฟตี้
#กันกระแทก #กันลื่น #กันเจาะทะลุ #กันไฟฟ้า #ESD #ElectricalHazard #EH
#ENISO20345 #ASTMF2413 #งานช่าง #คลังสินค้า #โรงงานอุตสาหกรรม
#SafetyThailand #PPEThailand #Thailand #ประเทศไทย
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม Line : @516hquje






